สูตรคำนวณ BTU แบบมืออาชีพ

การเลือก BTU ให้พอดีสำคัญที่สุดครับ ถ้า "เลือกผิด ชีวิตเปลี่ยน" แน่นอน:

• BTU น้อยเกินไป: คอมเพรสเซอร์ทำงานไม่ตัด (กินไฟมหาศาล), ห้องไม่เย็น, แอร์พังเร็ว
• BTU มากเกินไป: คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย, ห้องชื้น (รู้สึกเหนียวตัว), เปลืองเงินค่าเครื่องโดยใช่เหตุ

ค่าตัวแปร (Heat Load):

• 700 - 800: สำหรับห้องนอน หรือห้องที่ไม่โดนแดดบ่าย
• 800 - 900: สำหรับห้องรับแขก หรือห้องที่โดนแดดบ้าง
• 900 - 1000: สำหรับห้องกระจกเยอะ, ทิศตะวันตก, ร้านค้า, ออฟฟิศคนเยอะ

ตารางเปรียบเทียบขนาดห้องและ BTU

ขนาดแอร์ (BTU)	ห้องปกติ (ตร.ม.)	ห้องโดนแดด (ตร.ม.)
9,000	9 - 14	9 - 11
12,000	14 - 18	11 - 15
15,000	18 - 22	15 - 18
18,000	22 - 28	18 - 24
24,000	28 - 36	24 - 30
30,000	36 - 45	30 - 38
36,000	45 - 55	38 - 45

*หมายเหตุ: หากเพดานสูงเกิน 2.5 เมตร ควรเผื่อ BTU เพิ่มขึ้นอีก 5-10%

ลืมค่า EER ไปได้เลย ยุคนี้ต้อง SEER

เมื่อก่อนเราดูค่า EER แต่ปัจจุบันสำหรับแอร์ Inverter เราใช้ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) ซึ่งคำนวณตามสภาพอากาศจริงตามฤดูกาล ทำให้แม่นยำกว่า

เกณฑ์ดาวบนฉลากเบอร์ 5 (ใหม่)

• ⭐ เบอร์ 5 (ไม่มีดาว): ประหยัดไฟตามมาตรฐาน
• ⭐⭐ เบอร์ 5 (1 ดาว): ประหยัดขึ้นอีกประมาณ 5-10%
• ⭐⭐⭐ เบอร์ 5 (2 ดาว): ประหยัดขึ้นอีกประมาณ 10-20% (คุ้มค่าการลงทุนที่สุด)
• ⭐⭐⭐⭐ เบอร์ 5 (3 ดาว): เทคโนโลยีประหยัดไฟขั้นสูงสุด (Top Series)

การดูแลแอร์ด้วยตัวเอง

1. ล้างฟิลเตอร์ (แผ่นกรองฝุ่น): ควรทำทุก 2-3 สัปดาห์ แค่ถอดมาล้างน้ำเปล่าและผึ่งให้แห้ง ช่วยให้ลมแรงขึ้นและประหยัดไฟได้ทันที 5-10%
2. ล้างใหญ่โดยช่าง: ควรทำทุก 6 เดือน เพื่อล้างเมือกและสิ่งสกปรกที่อุดตันในคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน

สัญญาณเตือนว่าแอร์เริ่มมีปัญหา

• แอร์ไม่เย็น/มีแต่ลม: น้ำยาแอร์อาจรั่ว หรือคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน
• น้ำหยดหน้าเครื่อง: ท่อน้ำทิ้งตัน หรือถาดรองน้ำสกปรก (ต้องล้างใหญ่)
• เสียงดังผิดปกติ: มอเตอร์พัดลมอาจลูกปืนแตก หรือใบพัดหัก
• กลิ่นอับ: มีเชื้อราสะสมในเครื่อง